วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิธีใส่เพลงลงใน Blogger

วิธีใส่เพลงลงในบล็อกแบบประหยัดพื้นที่~

สวัสดีค่ะ วันนี้ขออัพบล็อกแบบมีสาระสักหน่อยแล้วกัน~
ก่อนอื่นขอให้เพื่อนๆไปที่เว็บนี้ค่ะ http://scmplayer.net/
(ถ้ารูปเล็กให้จิ้มที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่นะค่ะ ^^)

~วิธีสร้าง Music Player~
1.พอเปิดขึ้นมาก็จะมีหน้าตาแบบนี้



2.ให้ทำการเลือกสกินแบบที่ชอบได้เลยจร้า ~ ^ ^

3.ไปที่ Edit Playlist



4.จะมีหน้าตาแบบนี้



5. กรอกรายละเอียดลงไป ชื่่่อ > ชื่่อของเพลง

URL > ลิ้งค์ของเพลง เอามาจาก Youtube ก็ได้

6. จากข้อ5 จะได้เป็นดังนี้จ้ะ ^_^



จะใส่กี่เพลงก็ได้นะ ^ ^

7. เมื่อเลือกเพลงได้แล้วก็ไปที่ Configure Settings


8.มีเมนูดังนี้



เพิ่มเติม
เล่นเพลงอัตโนมัติ > ส่วนใหญ่ผู้ชมบล็อก จะไม่ชอบเล่นเพลงอัตโนมัตินะ
อยู่บริเวณใดของบล็อก > เช่นเราจะให้อยู่เฮดบล็อกอะไรแบบนี้น่ะจ้ะ > Top บน > Bottom ล่าง
แสดงเพลย์ลิส > แสดงรายชื่อเพลง ที่เราเลือก สามารถเลือกฟังได้นะ (จะแสดงอยู่แถบข้างขวา)

เสร็จสิ้น > ง่ายๆเลย ถ้าทำเสร็จแล้ว ให้กดปุ่มนี้เพื่อรับโค้ดไปใส่บล็อกจ้า ^_^

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
~วิธีเอา Music Player ใส่บล็อก~
1. หลังจากที่ได้กดปุ่ม Done แล้วจะมีหน้าตาดังนี้จ้า



2. ให้ทำการ Copy โค้ดที่ได้มาเอาไว้

3.ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

ไปที่หน้าจัดการและแก้ไขบล็อกนะจ้ะ
และไปที่รูปแบบ


4. เลือกเพิ่มGadget(จะเพิ่มตรงไหนก็ได้)
5. เลือก HTML/ จาวาสคริปต์


6. ชื่อ > ไม่ต้องใส่นะ
วางโค้ดลงไป
กด บันทึกเลยจ้า !?



เพียงเท่านี้ ก็มีเพลงไว้ฟังพร้อมการอ่านบล็อกที่แสนสนุกแล้วจ้า!?

ขอขอบคุณ
ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้
และข้อมูลจาก http://m.exteen.com/blog/25509/read/4187001642
ถึงพวกรูปจะทำเองแต่ก็ต้องให้เครดิตแหล่งข้อมูลด้วยสินะค่ะ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ชาว Blogger นะค่ะ
บ๊ายบายค่ะ (^_^) /

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Blogger ขายของจาก amazon ได้เงินจริง

คอนเซ็ปของ Blogger สร้างเงินได้ เรา ตั้งใจที่จะชักชวนคนไทยเราหาเงินด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ต้องเสียเงิน ก็สามารถหาเงินได้จริงๆ และมีคนได้มาเยอะแยะแล้วครับ
สอนให้หาเงินโดยใช้บล็อกเกอร์
บางคนก็อาจจะสงสัยว่า แล้วจะสามารถขายของได้จริงหรือ คำตอบคือ จริง ผมจึงตั้งใจที่จะนำเอาวิธีการทำ หรือ บางคนก็เรียกแบบเก๋ๆ ว่า Road map/โร้ดแมป เพื่อจะได้รู้แนวทางว่า ควรจะทำอย่างไร ฝากไว้อีกอย่างนะครับว่า มันไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นแนวทางได้ เสร็จแล้ว แต่ละคนก็สามารถปรับ ให้เข้ากับสภาพที่ตัวเองพบเจอ เพื่อให้ได้ขาย


1. ถ้าใครยังไม่เคยขายของ amazon ได้ก็ให้นึกก่อนว่าจะขายอะไร มองดูของใกล้ตัวก่อนก็ได้ครับ แล้วไปที่เว็บนี้
http://www.google.com/insights/search/?hl=en-US#


2 หากสงสัยว่า แล้วผมไม่เคยขายเลย และยังไม่รู้ด้วยว่าจะเอาอะไรมาขาย อันดับแรก ต้องคิดถึงสิ่งรอบๆ ตัวเราก่อนว่า อะไรบ้างนะที่ไม่แพงมากเกินไป คนต้องใช้เป็นประจำ คิดออกหรือยังครับ ถ้ายังคิดไม่ออก บอกเป็นนัยให้ก็ได้ เช่น ของใช้เด็ก (พ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกได้ใช่) เครื่องสำอาง (ผู้หญิงคือนักช็อปผู้ยิ่งใหญ่) เป็นต้น เมื่อคิดได้พอประมาณแล้ว ก็ลองเข้าไปหาดูที่ เว็บเครื่องมือฟรีไม่ต้องเสียเงินคือ Google Adwords ตามตัวอย่างข้างล่าง

blogger ขาย amazon


ส่วนบางคนก็อาจจะหาดูเทรนด์ หรือ แนวโน้มที่จะเป็นไปได้ของ Niche Keword ที่http://www.google.com/insights/search/?hl=en-US# ซึ่งก็อาจจะรีไดเร็คไปที่http://www.google.com/trends/?hl=en-US ก็ได้ ไม่เป็นไร

แต่ทั้งสองแบบผมได้ใช้ Filter เพื่อการหา key word ที่เจาะจงมากขึ้น โดยใช้ดังตัวอย่าง
- Product search  (ชื่อสินค้าที่เรายังจะเอามาเสิร์ช)
- United State  (การขายของใน amazon มีจุดมุ่งหมายเพื่อขายใน อเมริกา เพราะชอบซื้อของออนไลน์)
- Last 12 month (เพื่อให้ดูว่า มีคนค้นหาสักเท่าไร)

ทีนี้ก็เอาสินค้าที่เราต้องการจะมาหาคำกลางๆ หรือ ที่เรียกกันว่า niche ที่ช่องด้านซ้าย แล้วให้คลิกกดที่ search เพื่อหาคำที่เกี่ยวข้องดู ดังภาพ

ระบบรันสักครู่ แล้วก็จะมีกราฟ และตัวเลขอะไรต่างๆ ขึ้นมา แต่เราจะดูที่ trend ของสินค้าชนิดนี้ก่อนครับ ถ้ามีขึ้นมีลง นั่นโอเค แต่ถ้าเทรนด์ขึ้น ยิ่งเยี่ยมไปเลย ส่วนกลุ่มคำที่อยู่ข้างล่างนั้นนั่นแหละคือสิ่งที่มองหา ลองเอาไปเสิร์ชดูนะครับ ว่ามีคนเอาไปจดทะเบียนโดเมนเนมหรือยัง ถ้ายัง รีบจัดหนักไปเลย ไม่ต้องกลัวครับ ใน blogger ถ้าเราเอาไปดูมันจะรายงานเราเองว่า รายชื่อเว็บ หรือ โดเมนเนมนั้นว่างหรือไม่
แต่สิ่งที่จะต้องระวังก็คือ อย่าจดชื่อที่เป็น เครื่องหมายการค้า หรือ trademark นะครับ เดี๋ยวโดนฟ้อง แต่ถ้าโชคดีหน่อยก็จะโดนแค่เตือนให้เปลี่ยนชื่อโดเมน แค่นั้น

หรือหากใครที่กล้าสู้ ก็สามารถหา Niche keyword ที่อยู่ในเว็บ Amazon อยู่แล้วก็ได้ ลองเขียนคำที่ต้องการดู แล้วมันจะออกมาให้เลือกเยอะแยะ แต่หลายคนก็จะเอาคำนั้นมากรองในgoogle aword tools อีกทีหนึ่ง เพื่อคัดเอาคีย์ที่คิดว่า สู้คนอื่นได้ คือ หาที่มีคู่แข่งน้อยนั่นเอง

สำหรับการสร้างบล็อก อย่างละเอียด แนะนำให้หาความรู้ได้ที่บล็อกสอนเกี่ยวกับ blogger ที่Sapanaka.com เพราะเขาสอนละเอียดดี ส่วนการสร้างบล็อก ก็คำวันละ ไม่เกิน 2 บล็อกก็พอ ถ้าทำทีละเยอะๆ อาจจะทำให้โดนเพิ่งเล็งจากเจ้าของระบบ และอาจจะโดนปิดบล็อกได้ ผมเคยโดนมา สามสี่บล็อกแล้วครับ ถ้าจะให้ดี ก็ต้องเลือกเทมเพลตหรือธีม/Theme สวยๆ มาใช้ก็จะดี หรือไม่ก็หาธีมที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย แต่ถ้าไม่รู้จะหาจากไหน ก็ให้เอาจากที่ระบบเขามีให้นั่นแหละ เพราะดีต่อระบบ SEO อยู่แล้ว แต่ถ้าอยากได้สวยกว่านั้นอีก ก็มีที่เว็บของอีตา Johnnyนะครับ เป็นเทมเพลตฟรี ไม่เสียตังส์ครับ
ถ้าหาก Niche หรือ Key world เราดีๆ ละก็โพสต์ไปไม่นาน ก็จะได้ขายละครับ

แต่ละบล็อกที่เราทำขึ้นมานั้น ให้โพสต์เนื้อหา หรือ สินค้า วันละ 1-2 อย่างก็พอ ถ้ารีบทำเยอะเกินไป อาจจะทำให้ความคิดตันได้ไวก็ได้ ฉะนั้น อย่างรีบร้อนดีกว่าครับ สินค้าของ Amazon มีเยอะก็จริง เนื้อหามีให้ก็จริง แต่ปัจจุบัน ทาง Amazon ไม่อนุญาตให้มีการก็อปมาวางแล้วนะครับ ต้องนำมารีไรท์ หรือ เขียนขึ้นใหม่ จะดีมาก เพราะจะทำให้บล็อกของคุณแรง สู้คนอื่นได้ เพราะมันไม่ ซ้ำใคร ถ้าคุณทำดีๆ มันจะทำให้คุณได้เงินมากกว่า เว็บเสียอีก (กรณีของผมเป็นอย่างนี้แหละครับ พอดีเว็บใช้เทมเพลตไม่เทพพอ)

หลังจากที่มีเนื้อหาในบล็อกแล้ว ก็เริ่มนำ URL ไปโพสต์ ตามเว็บซับมิตต่างๆ นี่เป็น เหตุผลสำคัญด้าน SEO ครับ เพราะหากเว็บเหล่านั้นมี bot เยอะ มันก็จะไต่เข้ามาหาบล็อกเรา ซึ่งจะทำให้บล็อกเราแรง อินเด็กซ์/Index ไว้ คือ คนสามารถค้นหาใน google ได้ง่ายขึ้น ซึ่งนี่เป็นหัวใจของการทำเว็บหรือทำบล็อกครับ ก็ซับมิตไป วันละ 10 หรือ 20 ที่ และทำไปเรื่อยๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ จะได้ไม่ถูก Google เพ่งเล็ก

หมายเหตุ
แต่ล่ะบทความให้มีลิงค์ไปที่เว็บของ Amazon ประมาณ 3 สินค้าต่อ บทความก็พอครับ สิ่งที่ต้องมีประกอบด้วย คือ
1. รูปภาพของสินค้า
2. รายละเอียดของสินค้า หรือ product details
3. ปุ่ม Buy now

ถ้าทำตามนี้แล้วละก็ แป๊บเดียวก็ไข่แตกแล้วครับ 

ส่วนเงินค่า Commission หรือค่านายหน้า ก็ลองดูเอาเองนะครับ มีรายละเอียดอยู่ มีตั้งแต่ 3%ไปจนถึง 40% เลยทีเดียว ส่วนใครถนัดจะขายสินค้าของ Amazon ตัวไหน ก็เลือกได้ตามใจชอบ

ทำไมคนชอบทำกับเจ้านี้

เหตุผลที่คนทำกับแอมะซอน ก็เพราะว่า เงินดี มีเครื่องมือ และรายละเอียดให้เยอะที่สุด จ่ายแพงที่สุด ทำให้คนไทยที่ค้าสินค้าออนไลน์ หรือ ทำ Affiliate ก็หันมาทำกันหมด เพราะเงินดี และได้เงินจริง

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก :http://blogsetthi.blogspot.com

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มาดูวิธีหาเงินกัน $$ มีอะไรบ้าง ?

รายการงานต่างๆ ที่อยู่บนโลกออนไลน์นั้นก็มีเยอะเหมือนกันครับ แต่ต้องศึกษารายละเอียดกันแน่นๆ หน่อยครับ เพราะเราอาจตกเป็นเหยื่อหรือโดนหลอก ต้มตุ๋นได้ง่ายๆ ครับ นี่เป็นรายการงานออนไลน์ครับ อาจจะมีอีกแต่ขอยกมาแค่นี้ก่อนนะครับ

1. สปอนเซอร์โพสต์ - รับจ้างโพสต์ คือ คนมีเว็บจ้างเรา แล้วเราก็เอาเนื้อหา หรือลิงค์สู่เว็บคนนั้นไปโพสต์ตามเว็บที่เขาอนุญาต

2. ขายธีมหรือเทมเพลต – เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถสร้างธีมกับเทมเพลตได้ ก็เอาไปขาย

3. มีฟอรั่มเองเพื่อนเงิน – สร้างระบบฟอรั่ม แล้วให้คนอื่นใช้ ซึ่งเราก็ได้จาก โฆษณา และเงินบริจาค

4. สร้างเว็บขายเว็บ - สร้างเว็บขาย ทำไม่เป็นทำอย่างไร ก็คือ จ้างคนอื่นออกแบบเว็บ จ้างคนเขียนบทความ แล้วเราก็ขายออกไป (บวกกำไรเข้าไปสิ)

5. ขาย Plug-in – ขายปลั๊กอินสำหรับใช้กับเว็บหรือโปรแกรมต่างๆ

6. อีเมลนิวส์เลทเตอร์ – มีเว็บ แล้วเก็บรายการอีเมลลูกค้าไว้ แล้วนำไปขายให้ผู้ที่ต้องการอีเมล

7. ขายอีบุ๊ค – ขายอีบุ๊ค แล้วแต่เราจะหามา

8. งานฟรีแลนซ์ – งานอิสระ รับจ้างทำอะไรก็ได้ ตามแต่เราจะถนัด

9. เว็บสำหรับสมาชิก – เป็นสมาชิกของเว็บแล้วเขียนเรื่องราว สอน หรืออะไรก็ได้แล้วเอาสินค้ามารีวิว หรือ สอนการใช้ เมื่อมีแทรฟฟิคมาก เราก็อนุญาตให้คนมาติดแบนเนอร์ได้ (เราได้เงิน)

10. บอร์ดหางาน – บอร์ดสร้างงาน ประเภทงานหาคนคนหางาน ก็จะสามารถหาเงินได้หลายทาง

11. หาสปอนด์เซอร์สำหรับอีเว้นท์ – มีอีเว้นท์ต่างๆ แล้วหาสปอนเซอร์ เช่น แข่งกันตั้งชื่อให้ ชาอิชิตัน รสใด ควรมีฉายาอย่างไร

12. ขายหรือให้เช่า Single Page – มีเว็บแล้วให้คนเขาซื้อหรือเช่าบางเพจ ถ้า PR สูงจะได้เปรียบมาก

13. เปิดร้านบนเน็ต – มีเว็บหรือบล็อกไว้ขายของ แล้วแต่จะชอบ หรือ มีสินค้า

14. หนังสือปกแข็ง - สร้างปกหนังสื่อแบบแข็ง หรือ ออกแบบ เพราะบางทีบริษัทก็ต้องการซื้อเช่นกันงานอื่นๆ

15. ติดวิดเจทเพื่อเงิน – เหมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อก ก็เหมือนแบนเนอร์ครับ นำมาใส่ไว้ที่ไซด์บาร์

16. โฆษณาในเนื้อหา – เหมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อกเพราะเป็นลิงค์เพื่อส่งแทรฟฟิคให้เว็บอื่น แล้วเราได้เงิน

17. Parked Domains – ไม่ต้องมีเว็บ ขอแค่มีโดเมนเนมแล้วก็เอาไปฝากไว้เพื่อส่งแทรฟฟิคให้เขา เราได้เงิน

18. รับบริจาค – หมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อก แค่ติดปุ่มไว้ ถ้าคนอยากบริจาคก็จะให้เงินเรา คนไม่ค่อยให้แต่ถ้าเว็บมีประโยชน์ก็จะได้อยู่เหมือนกัน

19. การตลาดนายหน้า – ทำได้ทั้งคนมีเว็บหรือไม่มีก็ได้ พูดง่ายๆ คือนายหน้านั่นแหละ ถ้าทำถูกที่จะได้เงินดีมาก ครับ

20. โฆษณาเท็กซ์ลิงค์ – เหมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อก เป็นโฆษณาให้คนอื่นโดยเป็นตัวหนังสือไม่มีภาพ 

21. โฆษณาฟีด – เหมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อกเพราะเป็นการโฆษณาเว็บตัวเองผ่านระบบ Feed

22. รับกรอกข้อมูลการวิจัยหรือโพล – ไม่ต้องมีเว็บ วิธีทำงานคือ สมัครไว้ แล้วเขาจะให้กรอกแบบสอบถามเราก็ได้เงิน

23. โฆษณาแบบป๊อบอัพ – เหมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อก เพราะเป็นโฆษณาชนิดหนึ่ง

24. โฆษณาแบบเสียง – เหมาะสำหรับคนมีเว็บหรือบล็อก

25. ตลาดบทความ –  เหมาะกับทุกคน เพราะ 1 รับจ้างเขียนบทความ 2 ส่งบทความเข้าบางเว็บ แล้วคุณจะได้เงินเมื่อผู้อ่านเข้าไปอ่านคลิกโฆษณาในเว็บนั้น

26. ไดเร็คแบนเนอร์ – เป็นแบนเนอร์ของเว็บอื่น เราเอาไปติดที่ไหนก็ได้ถ้าเขาอนุญาต หากมีคนคลิกเข้าไปดูเราก็จะได้เงิน

27. เนื้อหาชั้นเยี่ยม – มีบทความหรือข้อมูลดีๆ ไว้ในเว็บ แล้วมีพาสเวิร์ดเพื่อเข้าอ่าน คนที่จอ่านได้ก็ต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะได้พาสเวิร์ด

28. สปอนเซอร์รีวิว – เป็นการรีวิวสินค้าให้คนคลิกเข้าไปเว็บหลักของเขา เราได้เงิน

YouTube Partner จ่ายเงินให้คุณได้อย่างไร?

การเป็น YouTube Partner: YouTube จ่ายเงินให้คุณได้อย่างไร?

ในปัจจุบันนี้ จะว่าไปแล้ว การทำธุรกิจ หรือ หาเงินออนไลน์ หรือ eBiz เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ นิยมกันเป็นอย่างมาก ทำให้อยากเขียนเรื่อง การเป็น YouTube Partner: YouTube จ่ายเงินให้คุณได้อย่างไร? เพราะสามารถทำรายได้ให้กับตัวเองได้ไม่น้อย YouTube นับว่าเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านวีดิโอ ทางอินเตอร์เนท ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีผู้เข้าชมที่เรียกว่า ยูนิค หรือ ไม่ซ้ำคน ต่อเดือนนับได้เป็นหลายร้อยล้านคน นั่นเป็นเหตุให้ ในเว็บของ YouTube มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา 

การหาเงินจาก ยูทู่บ youtube

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดความคิดของคนที่เข้ามาใช้บริการคิดว่า น่าจะได้รับประโยชน์ ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย มองหาโอกาสจากเว็บใหญ่นี้บ้าง สักหน่อยก็ยังดี นั่นเป็นเหตุให้มีหลายคนได้ใช้ช่องทางนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์กัน ซึ่งแตกต่างกันไป

มีคนจำนวนมากอยากจะหาเงินโดยตรงจากช่องนี้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ "เงิน" จากการโพสต์วีดิโอขึ้นเว็บนี้เสมอไป สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องเป็น partner ของ YouTube ก่อน แต่...แม้ว่าจะได้เป็น partner แล้ว ก็ยังไม่สามารถจะการันตีได้อย่างแน่นอนหรอกว่า คุณจะได้รับเงินมากมายอย่างที่คิด

เพราะอะไร การเป็น partner ของ YouToube แล้วไม่สามารถหาเงินได้?

คำตอบง่ายๆ คือ มันไม่ง่าย
เนื่องจากคนไทยเรา นิยมกันมากตอนนี้ และ เป็น ท็อล์คออฟเดอะทาวน์เลยทีเดียว แต่หลายคนก็ "ท้อ" อย่างทันตาเห็น เพราะอัพวีดีโอตัวไหนก็โดนปฏิเสธ และ ให้หาหลักฐานมายืนยันว่า เป็นเจ้าของจริงๆ หงายเงิบไปตามๆ กัน

ก่อนได้เงิน ก่อนทำงานกับ YouTube ต้องสมัครเป็น Partner ก่อน

การจะได้เป็น YouTube partner นั่นแสนจะง่าย เพราะแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่คุณกดคลิก ตอบรับการเป็นพาร์ทเนอร์กับเขา ก็ผ่านแล้ว ทั้งนั้นทั้งนี้ เพราะทาง Google ผู้เป็นเจ้าของ YouTube ไม่ได้เฉพาะเจาะจงอะไรมากมายในการที่จะเข้าร่วมงานกับพวกเขามากมายนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วีดิโอนั้น ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ Google สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้คุณได้เงินก็คือ มันจะได้มีคนชมหลายพันวิว เมื่อคุณสมัครได้แล้วและได้รับการยอมรับ ก็สามารถ หาเงินจาก YouTube ได้  

ค่าตอบแทนที่จะได้รับ จากการเป็น Partner ของ YouTube

ค่าตอบแทนที่จะได้รับ จากการเป็น Partner ของ YouTube เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเหล่าคนที่ หาเงิน ออนไลน์ ภายหลังจากที่เป็นพาร์ทเนอร์เรียบร้อยแล้ว จะมี Ads หรือ โฆษณาปรากฎที่วีดีโอของคุณ (ชอบมาก) แล้วค่าตอบแทนต่างๆ ก็จะนับจากจุดนี้เป็นต้นไป แต่มีอยู่ 2 แบบนะครับ ที่จะได้รับ นั่นคือ
1 มีคนเข้าชม หรือ impression จำนวน 1,000
2 มีการคลิกเกิดขึ้น 1 คลิก

ขออธิบายเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ 1 มีคนเข้าชม หรือ impression จำนวน 1,000 นั่นหมายถึง คุณจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อมีการเข้าชมวีดีโอนั้นๆ จำนวน 1,000 วิว(ครั้ง) และวีดีโอนั้นต้องมีโฆษณาปรากฎด้วย ถ้ามีใครคนอื่นหวังดี เอาวีดีโอของคุณไปแชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ แล้ววีดีโอไม่แสดงด้วย กรณีนี้คุณก็อด ไม่ได้รับค่าตอบแทนครับ

ขออีกนิดน่ะ บางทีก็ไม่ต้องมีอะไรมากครับ มีแต่ภาพ ไม่ต้องมีเพลงประกอบ ถ้าให้ดีก็เอาว่า ตั้งกล้องส่องหน้าตัวเอง แล้วพูดๆๆๆๆๆๆ แล้วอัพขึ้น YouTube แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ลองดูนี่ก็ได้ เพราะเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ อีกอันหนึ่ง สำหรับคนที่จะหาเงินด้านนี้https://www.youtube.com/watch?v=Re115gR5jSE

ดังนั้น  การเป็น Partner ของ YouTube และอยากได้รับเงินจากเขา ก็ต้องหาวิธีส่งคนให้เข้ามาดู วีดีโอของคน ใน YouTube โดยตรงดีที่สุด นี่เป็นวิธีการพื้นฐานที่ทำกันนะครับ เรื่องของกฎระเบียบต่างๆ อาจจะนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อเราใช้ blogger ก็ส่งคนจาก บล็อกเกอร์ ของเราเข้าไปดูก็ได้นี่ ไม่เห็นยากอะไร ใช่ป่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://blogsetthi.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

"ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น"
Neungzsogood02:15

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มชรา และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือลูกชายของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขามารวมกัน แล้วกล่าวว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ และฉันก็จะตัดสินใจเลือกหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ กิตติ เขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี
ผ่านไปหนึ่งเดือน พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่น ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับ และคุยกันถึงเรื่องความเติบโตของต้นไม้ แต่กิตติก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 2 เดือนผ่านไป .. 3 เดือนผ่านไป.. 4 เดือนผ่านไป ก็ยังไม่เห็นต้นไม้งอกออกมาเลย
ตอนนี้หนุ่มๆ ได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่กิตติไม่รู้จะคุยอะไร เพราะต้นไม่ของเขาไม่งอกออกมา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 10 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทำให้มันเติบโตได้แน่ๆแล้ว
ทุกๆคน มีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นกิตติที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบตามกำหนดเวลา 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEO ได้ตัดสิน… กิตติพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอสกระถางเปล่าๆใบนี้ไปโชว์ เพราะมันปลูกไม่ขึ้น” ภรรยาบอกเขาว่า ให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง กิตติรู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้อง CEO ที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อกิตติมาถึง เขารู้สึกแย่เนื่องจาก ต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรง สวยงามกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของกิตติ ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน กิตติได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคุณจะได้เลื่อนเป็นCEO ก็วันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของกิตติ ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกกิตติขึ้นมาข้างหน้า กิตติรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อกิตติเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” กิตติก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตามจริง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นกิตติ
ท่านมองมาที่กิตติแล้วก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. กิตติ”
กิตติแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้ยังไง และแล้วท่านประธานก็กล่าวว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกๆคน และให้ดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นกิตติ นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนสินะ กิตติเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง กิตติ ให้เป็น CEO คนต่อไปของบริษัทเรา”
ข้อคิดที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดละออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ลองคิดดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

See more at: http://www.kwamru.com/122#sthash.AoNZdqLx.dpuf

"สายลมแห่งการให้อภัย"
Neungzsogood02:01

มีคน 2 คนเป็นเพื่อนรักกันมาก ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง เกิดมีปากเสียงกันรุนแรงทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่งระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนข้อความลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”

พวกเขายังคงเดินทางต่อไป…จนกระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาก็อาบน้ำ….เพื่อนคนที่เคยถูกตบหน้า ได้พลัดตกแหล่งน้ำ จมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รอช้า รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักข้อความลงไปบนก้อนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”

อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อเธอถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ฉันได้ช่วยเธอจากการจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนก้อนหิน”

อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบ

เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”

แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมายเกิดขึ้น เราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมพัดแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย
See more at: http://www.kwamru.com/276#sthash.IUgq5baT.dpuf

ท่านมองตัวเองอย่างไร ?
Neungzsogood01:58


สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการแต่กำเนิด (cerebral palsy) ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปรกติและพูดไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา เธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอตามที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอไดเรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (เธอพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
“คุณอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เกิด คุณเคยรู้สึกน้อยใจไหม? แล้วท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ผู้ที่ร่วมฟังบรรยายอย่างมาก ต่างห่วงว่า คำถามนี้จะกระทบความรู้สึกของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสือว่า
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
1.ฉันเป็นคนนิสัยน่ารักมาก
2.ฉันมีขาที่เรียวงาม สวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้า ได้มอบความรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้น เสียงปรบมือดังสนั่นในห้องบรรยาย พร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอ ได้เพิ่มกำลังใจแก่ผู้คนอย่างมากมาย เธอผู้เป็นโรคสมองพิการนี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน (Huang Meilian) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ จงหันมามองสิ่งที่ดีในตัวเอง ลืมในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลืมอดีตที่ผ่านไป มองไปข้างหน้าแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด
See more at: http://www.kwamru.com/233#sthash.RH51ElsA.dpuf

“ธนาคารเวลา”
Neungzsogood01:55

เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ให้ลองถามตนเองว่า “สิ่งไหนที่สำคัญ แล้วได้ทำสิ่งนั้นหรือยัง?” “ใครที่เรารัก แล้วได้ทำดีกับเขาหรือยัง?” ลองจินตนาการว่ามีธนาคารแห่งหนึ่ง นำเงินเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้า เป็นจำนวนเงิน 86,400 บาท แต่ไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้น ทุกสิ้นวันยอดเงินที่เหลืออยู่จะถูกลบจนหมด คุณจะทำอย่างไร? แน่นอนที่สุดคุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์ ใช่ไหม!!! เราทุกคนก็มีธนาคารอย่างนี้เหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา” มันเข้าบัญชีให้คุณ 86,400 วินาที ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชีเหลือศูนย์ มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ในระหว่างวัน ผลขาดทุนก็เป็นของคุณ ไม่สามารถถอยหลังกลับไปใช้ได้ ไม่มีการถอนของ “วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้ คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยยอดเงินฝากของวันนี้ ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้เพื่อได้ผลตอบแทนกลับมาดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ นาฬิกากำลังเดินไม่หยุด จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีคุณค่าที่สุด จงใช้เวลาที่มีให้

มีคุณค่า และจำไว้เสมอว่า “เวลา” จะไม่คอยใครแม้สักคนเดียว เมื่อวานคืออดีต พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย ส่วนปัจจุบันเป็นของขวัญที่เรามี เราจึงเรียกมันว่า “Present”
See more at: http://www.kwamru.com/191#sthash.5o28Sp8F.dpuf

กระต่ายกับเต่า “ภาคสุดยอดวิชา”
Neungzsogood01:38

1st Round?กาลครั้งหนึ่ง เต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่ง โดยกำหนดเส้นทางแข่งและเริ่มการแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้แป๊บนึงก่อน แต่เผลอหลับยาววว ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็เข้าเส้นชัยคว้าแชมป์ไปแล้ว!!!นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้า ๆ แต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้ (เหมือนกัน)?

นี่เป็นเวอร์ชั่น ที่เราคุ้นหูกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง?

2nd Roundกระต่ายสันหลังยาว ก็อารมณเสียที่แพ้เต่า มันจึงค้นหาจุดอ่อนและสิ่งที่พลาดของตนเอง ก็พบว่าความมั่นใจในตนเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจของมันเองนั่นแหละ ส่งผลให้แพ้ ถ้าไม่เผลอหลับซะอย่าง เจ้าเต่าน่ะรึจะเอาชนะมันได้ กระต่ายจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง และเต่าก็ยินยอม แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอยเราได้ข้อคิดอะไรล่ะ…ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนทั้งสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆ ไม่เคยพลาด ไว้ใจได้ในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอวางใจและไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นมากกว่า?ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและเชื่อถือได้นี่ก็ยังดีกว่า

แต่…เรื่องยังไม่จบแค่นี้

3rd Round?คราวนี้ถึงตาเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะชนะเจ้ากระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้ว พอการเริ่มแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง ซวยละซิ!!!.. เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะคราวนี้?? เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลยเจ้ากระต่ายมัวแต่งงว่าจะทำไงดี จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้ว ลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัยนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ตนเองได้เปรียบมากที่สุด

ยัง…ยังเร็วไปที่จะจบเพียงแค่นี้ ยังมีต่อ…

4th Round?ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองช่วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกันการแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์คเริ่มต้นด้วยเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็ว จนถึงริมแม่น้ำ เจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน ผลการแข่งขันครั้งนี้สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย มากกว่าการแข่งขันทุกครั้งก่อนหน้านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋ง คนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊ง แต่คนอื่นเจ๋ง

ทีมเวิร์ค มีจุดสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ โดยให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้น ๆ เป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วงสถานการณ์ที่เหมาะสม กับความสามารถของเขา

นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่ากระต่ายหรือเต่า เมื่อเกิดเหตุที่พ่ายแพ้ก็ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มเลิกหรือท้อแท้ กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนโดยการทำงานที่หนักขึ้นและเพิ่มความมุมานะในงานของตน ส่วนเจ้าเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้ว ในชีวิตจริงเมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานและเอาใจใส่ในงานมากขึ้น บางครั้งเราก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไป และในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่าง

นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคลแล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้น

โดยสรุป….เรื่องราวของกระต่ายกับเต่าสอนเราในหลายๆ อย่าง ความรวดเร็วเสมอต้นเสมอปลายชนะความอืดอาด การดึงศักยภาพในตัวของเราออกมาและทำงานร่วมกันเป็นทีม ย่อมดีกว่าการทำงานคนเดียว อย่ายอมแพ้เมื่อพบกับความล้มเหลว และสุดท้ายคือจงแข่งกับสถานการณ์ ไม่ใช่กับตัวบุคคล
See more at: http://www.kwamru.com/173#sthash.v26U35Oo.dpuf

“ดวงจันทร์สองดวง”
Neungzsogood01:10

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว….
สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง
ดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงและอีกดวงเป็นผู้ชาย
ดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงนี้ต่างรักกันและไม่เคยแยกห่างจากกัน
ทุกๆคืนเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกัน
…แต่แล้ววันหนึ่ง…
ดวงจันทร์ผู้หญิงก็ได้ไปพบกับดวงอาทิตย์
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อย

และแล้วก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงนึงในที่สุด
เมื่อค่ำคืนมาถึง…
จึงมีดวงจัทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว
ดวงจันทร์ผู้ชายจึงได้แต่ออกตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนแห่ง
…คืนแล้วคืนเล่า…
…วันเวลาล่วงผ่านไป…

ดวงจันทร์ผู้ชายก็ยังไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงพบ
ด้วยความคิดถึงและอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงเป็นที่สุด
ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า “หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอหญิงที่เรารักเป็นแน่แท้”
จึงตัดสินใจระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วจักรวาล
เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวง
…เมื่อเวลาผ่านไป…
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า…
แม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักเพียงใด
แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้าแต่เพียงเธอเท่านั้น
แต่ยังส่องแสงไปที่ดาวดวงอื่นๆอีกมากมาย
ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง
แต่หาเท่าไหร่ ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ

ต่อมาจึงได้รู้ว่า…
ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพื่อตามหาตน จดกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้รู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ
แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย มีให้กับดวงจันทร์ผู้หญิง
ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง ที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดของตนส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง
เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์
จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เรืองแสงเห็นจนถึงทุกวันนี้…

หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด
วันนั้น…คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อย
หากวันไหนคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มท้องฟ้า

วันนั้น…คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์
สุดท้าย….เธอและเขาก็ไม่ได้พบกัน…ตลอดกาล

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกใครที่ดีกว่า อย่าลืมว่ายังมีคนที่คุณเคยรักเค้าและเค้าก็รักคุณอยู่ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาคนนั้น อาจจะไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของคนใหม่เลยก็ตาม
See more at: http://www.kwamru.com/97#sthash.MxjGQAMU.dpuf

“ข้อคิดการตัดสินผู้อื่น”
Neungzsogood00:56

ที่สนามบินนานาชาติ มีนักธุรกิจสาว บุคลิกดีคนหนึ่ง จำเป็นต้องรอเวลาเครื่องออก อีก 2 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่อง เพื่อไปปลายทาง เธอจึงได้ซื้อหนังสืออ่านเล่น และคุกกี้ 1 ห่อ แล้วก็หาที่นั่งเพื่ออ่านและกินคุ๊กกี้ฆ่าเวลา

เนื่องจากบริเวณที่นั่งรอเครื่องนั้นมีผู้คนมาก เธอจึงมองหาที่นั่ง และเจอที่นั่งจุดนึง เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอมีชายหนุ่ม นั่งสบายเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้างๆ เขา แต่เธอก็ได้ไปนั่งที่ข้างๆชายหนุ่มนั่น เนื่องจากไม่มีที่ว่างอื่นๆแล้ว

สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบคุ๊กกี้ออกมาจากถุงที่วางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันทีละชิ้น เธอมองด้วยความ งุนงง ปนโกรธ แต่ไม่ต้องการมีปัญหา เธอจึงข่มใจและทำเป็นไม่สนใจ


เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ารอเวลา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินคุ๊กกี้เรื่อยๆ เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า “ถ้าหากฉันไม่ใช่คนมีชาติกระกูล และการศึกษาสูงล่ะก็ ฉันจะชกหน้าหมอนี่ให้หายซ่าเลย”

ทุกครั้งที่เธอหยิบคุ๊กกี้ขึ้นมากินน ชายหนุ่มก็หยิบมันกินเช่นกัน ทั้งสองสบตากัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มนั่นจะทำอย่างไร

ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็นสองท่อน ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น

เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า “ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้มารยาทจริงๆ ไร้การศึกษา จะขอบคุณซักคำก็ไม่มี”

ต่อมาก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของแล้วเดินไปที่ทางออกขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองชายหัวขโมย ผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่แล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอ่านต่อง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ

เธอตกใจมาก….
ถ้าคุกกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ งั้นก็แปลว่า…คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน!!

เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม

ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ เธอเองนั่นแหล่ะที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง….

จะมีซักกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด แต่มันเป็นการเข้าใจผิด

มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และเราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก

นี่แหละที่ทำให้เราควรต้องคิดทบทวนให้แน่ใจ ก่อนตัดสินผู้อื่น เพราะหลายๆสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า

“เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?”
“เราได้เคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือเปล่า?”